Landing Page หรือ “หน้าลงจอด” มักถูกใช้ในแคมเปญโฆษณาออนไลน์ เช่น Google Ads, Facebook Ads หรืออีเมลมาร์เก็ตติ้ง โดยมีเป้าหมายหลักคือ กระตุ้นให้ผู้เข้าชม “ลงมือทำบางอย่าง” เช่น สมัครสมาชิก, ซื้อสินค้า หรือกรอกแบบฟอร์ม
แต่รู้หรือไม่ว่า…
Landing Page ก็สามารถทำ SEO ได้!
และเมื่อทำได้ถูกต้อง มันจะกลายเป็น “หน้าเก็บทราฟฟิกถาวร” โดยไม่ต้องเสียเงินค่าโฆษณาตลอดเวลา
บทความนี้จะพาคุณไปรู้ว่า SEO สำหรับ Landing Page คืออะไร, ควรทำยังไงให้ติดอันดับ, และยังคง Conversion สูง
ความเข้าใจผิด: “Landing Page ทำ SEO ไม่ได้”
หลายคนคิดว่า Landing Page ไม่เหมาะกับ SEO เพราะ:
- ไม่มีเนื้อหาเยอะ
- มีเป้าหมายเดียว เช่น “สมัครเลย”
- เป็นหน้าเดี่ยว ไม่ซับซ้อน
- เขียนเพื่อขาย ไม่ใช่ให้ข้อมูล
แม้ข้อข้างต้นจะมีความจริงบางส่วน แต่ถ้าเราวางโครงสร้าง Landing Page ให้ดี
ก็สามารถทำ SEO ได้ โดยไม่ลด Conversion
เป้าหมายของ Landing Page SEO
- ดึงดูดทราฟฟิก “ฟรี” จากการค้นหา
- ลดการพึ่งพาโฆษณา (ประหยัดงบ)
- เพิ่มยอดขายหรือการสมัครจาก Organic Traffic
- ทำให้หน้าแคมเปญ “อยู่ได้นาน” ไม่ต้องลบทิ้งเมื่อหมดงบ
โครงสร้าง Landing Page ที่เป็นมิตรต่อ SEO และยังขายดี
✅ 1. หัวข้อ (Headline) ต้องใส่คีย์เวิร์ดอย่างชาญฉลาด
- หัวข้อแรกควรมี Keyword หลัก ที่กลุ่มเป้าหมายค้นหา
- เช่น: “คอร์สเรียนถ่ายภาพออนไลน์ สำหรับผู้เริ่มต้น – เรียนง่ายใน 30 วัน”
เคล็ดลับ: ใช้คำธรรมชาติ ไม่ต้องฝืนให้เป็นคีย์เวิร์ดเป๊ะ ๆ แต่ให้ Google เข้าใจบริบท
✅ 2. เนื้อหาสั้นก็จริง แต่ต้อง “ชัด”
- อธิบายสิ่งที่เสนอ อย่างชัดเจนในย่อหน้าแรก
- ใช้ Bullet Points ช่วยให้คนเข้าใจเร็ว
- ตอบคำถามที่ผู้ค้นหาอาจสงสัย เช่น “เหมาะกับใคร?”, “ใช้เวลาเรียนเท่าไหร่?”, “ได้อะไร?”
✅ 3. ใส่คอนเทนต์คุณภาพเสริมลงไป
หลาย Landing Page มีแค่รูปกับปุ่ม → แบบนี้ Google มองไม่เห็นคุณค่า
ลองเพิ่มเนื้อหาเหล่านี้:
- คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
- รีวิวหรือคำแนะนำจากผู้ใช้จริง
- การเปรียบเทียบกับสินค้า/บริการอื่น
- คำอธิบายเสริมในรูปแบบ Infographic หรือวิดีโอ
ทั้งหมดนี้จะช่วยให้ Google เข้าใจว่า หน้านี้ “มีเนื้อหาจริง” ไม่ใช่แค่หน้าโฆษณา
✅ 4. Meta Title และ Meta Description ต้องเขียนเฉพาะทาง
- ใช้ Keyword ใน Title อย่างชัดเจน
- เขียน Description ที่กระตุ้นความสนใจ และมี CTA (Call to Action) ด้วย เช่น
“สมัครวันนี้ รับคู่มือฟรี! คอร์สเรียนออนไลน์สำหรับมือใหม่ เริ่มต้นเพียง 990 บาท”
✅ 5. เพิ่ม Schema Markup เพื่อให้หน้าเว็บแสดงเด่นบน Google
- ใช้ FAQ Schema, Product Schema, หรือ Review Schema เพื่อเพิ่มความโดดเด่น
- ช่วยให้ CTR (Click-through Rate) สูงขึ้น เพราะแสดงข้อมูลเสริมบน SERP
✅ 6. ความเร็วหน้าเว็บต้องไว
เพราะ Landing Page ส่วนใหญ่ใช้งานบนมือถือ
หากโหลดช้า = คนปิดทันที → Google ก็ลดคะแนน SEO คุณด้วย
เครื่องมือแนะนำ:
PageSpeed Insights, GTmetrix, Core Web Vitals Report
ตัวอย่าง Landing Page ที่ทำ SEO ได้ดี
หัวข้อ: คอร์สสอนแต่งภาพ Lightroom สำหรับมือใหม่
URL: yourdomain.com/lightroom-course
เนื้อหา: มีวิดีโอสอนตัวอย่าง, รีวิวจากนักเรียน, FAQ และฟอร์มสมัคร
ผลลัพธ์: ติดอันดับ Top 3 คำว่า “คอร์ส Lightroom ออนไลน์” โดยไม่ซื้อ Ads เลย
SEO สำหรับ Landing Page ต่างจากหน้า Blog อย่างไร?
รายการเปรียบเทียบ | Blog Page | Landing Page |
---|---|---|
เป้าหมาย | ให้ข้อมูล-สร้างความน่าเชื่อถือ | กระตุ้นให้ลงมือทันที |
ความยาวเนื้อหา | 800–2,000 คำ | 300–800 คำโดยเฉลี่ย |
โครงสร้าง SEO | คีย์เวิร์ดกระจายทั่วหน้า | คีย์เวิร์ดต้องชัดเจนใน Title/CTA |
CTA | ปรากฏเป็นบางส่วน | มี CTA หลักชัดเจน |
สรุป: SEO สำหรับ Landing Page = ขายได้ + ติดอันดับด้วย
Landing Page ไม่ใช่แค่ “หน้าโฆษณาชั่วคราว” อีกต่อไป
หากคุณลงทุนทำให้หน้าเหล่านี้ “รองรับ SEO”
คุณก็สามารถดึงดูดลูกค้าใหม่ได้ต่อเนื่อง โดยไม่ต้องรันโฆษณาไปตลอดชีวิต
SEO สำหรับ Landing Page คือการผสมผสานระหว่าง กลยุทธ์การขาย กับ เทคนิคการจัดอันดับ อย่างลงตัว
📌 สนใจให้เราช่วยปรับปรุง Landing Page ให้รองรับ SEO พร้อมเพิ่ม Conversion ไปพร้อมกัน?
คลิก ติดต่อเรา เพื่อขอรับคำปรึกษาฟรีจากทีม SEO ที่มีประสบการณ์สร้าง Landing Page ติดหน้าแรก Google และทำยอดขายจริงในกรุงเทพ

อ้างอิงรูปภาพจาก https://seoagencybangkok.com/